|| Duckhams || น้ำมันเครื่องเบนซิน || น้ำมันเครื่องดีเซล || น้ำมันเครื่องมอเตอร์ไซค์ || น้ำมันเกียร์ || น้ำมันเบรค || น้ำมันไฮดรอลิค || น้ำยาหล่อเย็น || ตัวแทนจำหน่าย
Duckhams สูตรไหนเหมาะกับอะไรบ้าง << คลิ๊ก
สาระควรรู้โดยน้ำมันเครื่อง Duckhams
- น้ำมันไฮดรอลิคมีกี่ประเภท ?
- แล้วจะเลือกน้ำมันเไฮดรอลิคยี่ห้อไหนดี ?
- น้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ 32 46 กับ 68 ต่างกันอย่างไร ?
- น้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ 32 46 กับ 68 ใช้กับอะไรได้บ้าง ?
น้ำมันไฮดรอลิก (หรือที่เรียกว่าน้ำมันหล่อลื่นอุตสาหกรรม) เป็นของไหลที่มีความหนาแน่นคงตัว มีความทนต่อแรงอัดที่มีความดันมากๆ ใช้กับแรงดันสูงๆ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดในระบบไฮดรอลิค เพื่อส่งถ่ายกำลัง จากของไหล ไปเป็นกำลังงาน โดยถ่ายทอดพลังงาน จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง เพื่อ ให้ระบบไฮดรอลิคสามารถขับเคลื่อนได้ และในขณะเดียวกันยังให้แรงเป็นเท่าทวีคูณด้วย นิยมใช้ประโยชน์ในทางเครื่องจักรงานอุตสาหกรรม เป็นตัวช่วย ในการหล่อลื่น ช่วยในการเคลื่อนไหว ของอุปกรณ์ ชิ้นส่วนในระบบ ให้สามารถเคลื่อนที่ได้ อย่างคล่องตัว ลดแรงเสียดทาน ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่สัมผัสกันในการถ่ายโอนพลังงานภายในเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฮดรอลิก ซึ่งปัจจุบันใช้กันแพร่หลายทั้งในเครื่องจักร อุตสาหกรรม และยานยนต์ต่างๆ รวมถึงงานอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์อื่นๆ เพื่อให้เครื่องจักรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำมันไฮดรอลิกประกอบไปด้วย น้ำ, น้ำมันปิโตรเลียม และสารเติมแต่งสังเคราะห์อื่นๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป เพื่อเพิ่มการปกป้องเครื่องจักรให้สามารทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีอายุการทำงานที่ยาวนานขึ้น
เนื่องจาก น้ำมันไฮดรอลิคมีอยู่หลายประเภท และ ทำงานแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับชนิดของน้ำมันไอดรอลิค เพื่อที่จะนำไปพิจารณาว่าควรเลือกแบบไหนจึงจะเหมาะสมกับการใช้งานได้อย่างถูกต้อง (เช่น เหมาะกับสภาพแวดล้อมแบบใด, ทำงานกับน้ำ ความชื้น, ประสิทธิภาพในการทนไฟ หรือทนแรงดัน) สามารถแบ่งออกป็น 2 ชนิดหลัก ๆ คือ
น้ำมันปิโตรเลียม : มีความสามารถในการหล่อลื่นได้ดีมาก ต้านทานการสึกกร่อน ต้านทานการเกิดสนิม ต้านทานการเกิดสนิมได้ดี และมีความหนืดสูงซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวซีลได้ดีมาก แบ่งออกเป็น 4 ลักษณะด้วยกัน ได้แก่ น้ำมันไฮดรอลิกทั่วไป (HYDRAULIC AW), น้ำมันเทอร์ไบน์, น้ำมันไฮดรอลิกชนิดพิเศษ (HYDRAULIC HVI), น้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 10W หรือ SAE 30
ข้อดี : นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย มีราคาถูก และมีคุณสมบัติที่แตกต่างของน้ำมันไว้ ซึ่งได้แก่ ชนิดของน้ำมันดิบ วิธีการ ระดับการกลั่น และ สารประกอบที่ใช้
ข้อเสีย : ติดไฟง่าย หากในสภาพแวดล้อมที่ความร้อนสูง ไม่ค่อยทนความร้อน ดังนั้น จึงไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้ไฟ เพราะอาจจะเกิดข้อผิดพลาด เช่น ท่อรั่ว อาจทำให้ติดไฟได้ ยกตัวอย่าง น้ำมันปิโตรเลียมชนิดนี้
น้ำมันทนไฟ : ใช้กับระบบไฮดรอลิค ที่ทำงานที่อุณหภูมิสูง ๆ โดยเฉพาะ หรือใช้กับสภาพแวดล้อมที่ติดไฟได้ง่าย ที่อาจจะเกิดได้จากไอระเหยของน้ำมัน หรือน้ำมันรั่วไหล สัมผัสกับอุปกรณ์ที่มีความร้อน หรือมีคราบน้ำมันที่ผิวอุปกรณ์ที่ร้อน เป็นต้น ผู้ใช้งานจำเป็นต้องมีความรู้ในการใช้งานและดูแลรักษา เพราะประสิทธิภาพการกันไฟจะเป็นผลจากสภาพการดูแล แบ่งออกได้ 2 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่
ประเภทที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ (Synthetic fluids) ซึ่งอยู่ 2 ประเภทคือฟอสเฟตเอสเตอร์ (Phosphate esters) และโพลีเออร์เอสเตอร์ (Polyor esters) ซึ่งเป็นคุณสมบัติของน้ำมันชนิดนี้สามารถใช้ได้ดีในอุณหภูมิสูงๆ โดยไม่ทำให้สารประกอบหายไป และใช้ใด้ดีในระบบที่มีความดันสูงๆ น้ำมันมีค่าความถ่วงจำเพาะที่สูงสุด จึงต้องระวังท่อดูดของปั๊มให้อยู่ในสภาพดี น้ำมันชนิดนี้มีค่าดัชนีความหนืดต่ำอยู่ที่ประมาณ 80 VI จึงควรใช้ในระบบที่มีอุณหภูมิในการทำงานที่คงที่
ประเภทน้ำมันผสมน้ำ (Water containing fluids) น้ำมันประเภทนี้แบ่งได้ 3 ประเภทคือ
1. น้ำมันประเภทน้ำผสมกลีซอล : (มีน้ำผสมประมาณ 35-40%) มีสารประกอบจากน้ำที่เป็นยางเหนียวเพื่อทำให้เกิดความหนืด เพื่อเป็นสารต่อต้านการติดไฟ
2. น้ำมันประเภทมีน้ำผสมอยู่น้อยกว่าน้ำมัน : (มีน้ำผสมประมาณ 40%) มีสารประกอบเพื่อช่วยรักษาค่าความหนืดให้คงที่ และเมื่อใช้จริงในระบบอาจเติมน้ำเข้าไปได้อีก
3. น้ำมันประเภทมีน้ำมันผสมอยู่น้อยกว่าน้ำ : สามารถต้านทานการลุกไหม้ได้ดี มีความหนืดต่ำ และมีสมบัติในการหล่อเย็นดีมาก
น้ำมันปิโตรเลียม และ น้ำมันทนไฟ ซึ่งชนิดน้ำมันปิโตรเลียม จะเหมาะกับการใช้งานกับระบบไฮดรอลิคทั่วไป น้ำมันทนไฟ จะเหมาะกับใช้กับระบบไอดรอลิคที่อุณหภูมิสูง ๆ หรือ สภาพที่อาจจะเกิดการรั่ว หรือน้ำมันระเหยได้
โดยทั่วไปแล้วตามความเคยชินของผู้ประกอบการจะซื้อน้ำมันไฮดรอลิกที่เฉพาะเจาะจงจากผู้ผลิตเครื่องจักร แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ว่าเครื่องจักรจะทำงานกับน้ำมันไฮดรอลิกประเภทไหนก็ได้ ดังนั้น เราควรพิจารณาเลือกซื้อน้ำมันไฮดรอลิกให้ถูกต้องตามที่คู่มือเครื่องจักรนั้นๆ กำหนดความต้องการของระบบไว้ เพราะการเลือกใช้น้ำมันที่ถูกประเภทนั้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบไฮดรอลิคให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งยังรักษาอายุของเครื่องจักรได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
การเลือกน้ำมันไฮดรอลิกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก แต่ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ เพราะมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายอย่างซึ่งจะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละเครื่องจักรอุตสาหกรรม เพื่อประโยชน์ในการกำหนดค่าใช้จ่าย และตัดสินใจเลือกน้ำมันไฮโดรลิคที่ดีที่สุดให้กับเรา กล่าวคือ
1. ตรวจสอบมาตรฐานความต้องการขั้นต่ำที่เหมาะสมกับการใช้งานเครื่องจักรอุตสาหกรรม : โดยเฉพาะเครื่องจักรที่กำหนดให้ใช้น้ำมันไฮดรอลิคที่มีคุณสมบัติทนไฟ
2. เลือกสารปรุงแต่งในน้ำมันไฮดรอลิค (Oil Additive) ที่เหมาะสม : ตรวจสอบคุณสมบัติน้ำมันไฮดรอลิคที่ระบุไว้ข้างขวดให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะใช้งานจริง เช่น Anti – Ware (AW) ที่มีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันการสึกหรอจากการเสียดสีของชิ้นส่วนเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนไหวระหว่างการทำงาน เป็นต้น
3. ตรวจสอบดัชนีความเสี่ยง : ให้เตรียมการเผื่อไว้ให้มั่นใจว่าเครื่องจักรในงานอุตสาหรรมที่ทำนั้นอาจมีกรณีที่ผิดปกติจนอาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงขึ้นมา ประสิทธิภาพของน้ำมันไฮดรอลิคที่เติมเข้าไปจะสามารถลดความเสี่ยงอันอาจเป็นอันตรายนั้นลงได้
4. อย่าพิจารณาจากราคาถูกเป็นหลัก : น้ำมันไฮดรอลิคที่มีมาตรฐานที่ไม่สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ จะส่งผลเสียระยะยาวให้กับเครื่องจักรอุตสาหกรรมให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสให้เครื่องจักรเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
ปัจจัยในการเลือกน้ำมันไฮดรอลิกให้ถูกต้องกับการใช้งาน อุปกรณ์ เช่น ปัจจัยในเรื่องประเภทของน้ำมันพื้นฐาน (Base Oil), ชนิดของสารปรุงแต่ง (Oil Additive), ความหนืด และจุดที่เป็นขีดจำกัดของน้ำมัน
1. น้ำมันพื้นฐาน (Base Oil) เป็นประเภทไหน : น้ำมันไฮดรอลิคจะมีน้ำมันพื้นฐานเป็นสารตั้งต้น แบ่งออกเป็น 5 ประเภท (Group I-V) ยิ่งน้ำมัน Group ตัวเลขสูงมากเท่าไหร่ยิ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ของน้ำมันสูงมากเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลถึงประสิทธิภาพของน้ำมันจะสูงขึ้นตามไปด้วย
2. สารปรุงแต่งน้ำมันไฮดรอลิค (Oil Additive) ที่ใช้ : พิจารณาสารปรุงแต่งพิเศษที่จะไปช่วยให้น้ำมันทำงานได้ดีขึ้นนั้น ตรงกับเครื่องจักรที่เราจะใช้ เช่น คุณสมบัติ Anti – Ware (AW), Anti – Foaming, Anti Oxidation, ป้องกันสนิม, Pour Point Depressant, Friction Modifier, Viscosity Index Improver, Cold Flow เป้นต้น
3. ความหนืดของน้ำมันไฮดรอลิค (Viscosity of Hydraulic Oil) : ความหนืดสูงก็จะมีความหนา ซึ่งจะทำให้ถูกบีบอัดและเคลื่อนตัวได้ยาก ความหนืดต่ำซึ่งจะมีความบางและไหลผ่านระบบได้ง่ายกว่านั่นเอง
- ความหนืดของของเหลวไฮดรอลิคต่ำเกินไป ฟิล์มน้ำมันที่เคลือบโลหะจะบางเกินไป อาจส่งผลให้โลหะสัมผัสกันโดยตรง เกิดการสึกหรอขึ้นในระบบ เสี่ยงต่อการรั่วไหลภายใน ปั๊มและมอเตอร์สูญเสียกำลัง
- ความหนืดของของเหลวไฮดรอลิคสูงเกินไป ระบบก็จะต้องใช้หรือเค้นพลังเป็นอย่างมากเพื่อผลักให้เครื่องจักรเคลื่อนไหว ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรลง กินไฟ และเกิดความร้อนที่ไม่จำเป็น เกิดโพรงอากาศ การปล่อยอากาศได้ไม่ดี และการหล่อลื่นที่ไม่เพียงพอ
ถ้าเราใช้น้ำมันหล่อลื่นไม่ถูกต้องตามข้อกำหนดของเครื่องจักร สิ่งที่น่ากลัวคือ มันจะไม่ได้ส่งผลร้ายแรงอะไรให้เราเห็นได้ชัดเจนในทันที แต่จะทำให้อายุการใช้งานเฉลี่ยของส่วนประกอบในเครื่องจักรไฮดรอลิคสั้นลง ซึ่งเป็นส่วนที่จะไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นได้นั่นเอง
- ประสิทธิภาพการทำงานของระบบไฮดรอลิคจะลดลง
- อายุการใช้งานของส่วนประกอบและอะไหล่เครื่องจักรจะลดลง
- เครื่องจักรขาดการหล่อลื่นที่เพียงพอ, มีความร้อนสะสมมากเกินไป
- เกิดการกัดกร่อน ตกตะกอน และเกิดวานิชในน้ำมัน
นอกจากนั้นแล้ว หากเลือกน้ำมันไฮดรอลิคคุณภาพดีมาใช้ ก็จะมีคุณสมบัติดีๆ ครบถ้วน ทำให้สามารถนำไปใช้งานกับระบบไฮดรอลิคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีปัญหาตามมา แล้วคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันไฮดรอลิคควรเป็นอย่างไร ขอสรุปสั้นๆ ดังนี้
1. มีค่าความหนืด ( viscosity ) ที่เหมาะสมต่อการใช้งาน : น้ำมันไฮดรอลิกที่ดีต้องมีค่าความหนืดคงที่แม้ว่าอุณหภูมิในการทำงานจะเปลี่ยนแปลงก็ตาม และควรมีดัชนีความหนืดสูง
2. การหล่อลื่นระหว่างผิวสัมผัสของอุปกรณ์ต่างๆ : น้ำมันไฮดรอลิกที่ดีจะความหนืดมากพอในระดับที่ป้องกันการสึกหรอได้ดี แต่หากน้ำมันไฮดรอลิคมความหนืดมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อการหล่อลื่น เพราะทำให้การเคลื่อนตัวของน้ำมันไหลไปมาไม่สะดวก
3. มีจุดข้นแข็ง หรือจุดไหลเทที่อุณหภูมิต่ำ (Pour Point) : น้ำมันไฮดรอลิกที่ดีควรมีจุดข้นแข็งต่ำกว่าอุณหภูมิที่ระบบไฮดรอลิกทำงาน เพื่อป้องกันปัญหากรณีระบบไฮดรอลิกทำงานในที่ที่อุณหภูมิต่ำกว่าปกติ ซึ่งเรื่องนี้สามารถทดสอบได้ ด้วยเครื่องทดสอบ หาจุดไหลเท ( Pour point analyzer )
4. การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่สูงไปหรือต่ำ : น้ำมันไฮดรอลิคที่ดีจะไม่เปลี่ยนแปลงคุณภาพถึงแม้ว่าจะต้องเจอกับความร้อนมากแค่ไหนก็ตาม
5. มีคุณสมบัติของการหล่อลื่น ( Lubricity ) : น้ำมันไฮดรอลิคที่ดีจะต้องไม่กัดกร่อน และไม่ทำปฏิกิริยากับยาง ซีล ปะเก็น และ สี ละไม่ทำปฏิกิริยากับยาง ซีล ปะเก็น และสี
6. มีความสามารถในการอัดตัวต่ำ : น้ำมันไฮดรอลิคที่ดีจะต้องไม่ยุบตัวตามความดัน
7. ต้านทานการเกิดสนิม ช่วยป้องกันการกัดกร่อนโลหะ : น้ำมันไฮดรอลิคที่ดีจะต้องไม่มีฤทธิ์ของความเป็นกรดที่อาจทำปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ได้ เพราะชิ้นส่วนต่างๆ ในระบบไฮดรอลิกส่วนใหญ่ล้วนทำด้วยโลหะ
8. ต้านทานการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ( oxidation stability ) ต้านทานการเกิดฟอง
9. มีความสามารถในการแยกตัวจากน้ำได้ดี และไม่จับตัวเป็นก้อนหรือยางเหนียว
ในตัวของน้ำมันไฮดรอลิคแต่ละแบรนด์นั้นจะมีตัวเลขที่บ่งบอกถึงค่าของความหนืดที่บ่งบอกความหนืดของน้ำมัน โดยทั่วไปแล้วน้ำมันไฮดรอลิคมีหลายระดับหนืดที่ให้บริการตามความเหมาะสมของแต่ละการใช้งาน ตัวเลขบอกความหนืดมักถูกบ่งบอกในรูปแบบ ISO VG (Viscosity Grade) และมีค่าตั้งแต่ 2 ถึง 1500 ซึ่งจะมีหลักการพิจารณาคร่าวๆ นั้นเราสามารถสังเกตได้จากค่า ISO VG ที่ต่ำจะแสดงว่าน้ำมันมีความหนืดต่ำ ในทางกลับกันหากน้ำมันไฮดรอลิคมีค่า ISO VG ที่สูงก็ย่อมแสดงว่ามีความหนืดสูงขึ้นตามไปด้วย กล่าวคือ
- น้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ 32 ถือว่ามีความหนืดอยู่ในระดับต่ำ (น้อยกว่า)
- น้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ 46 ถือว่ามีความหนืดอยู่ในระดับปานกลาง
- น้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ 68 ถือว่ามีความหนืดสูง (มากกว่า)
และนี่คือหลักการเบื้องต้นที่เราใช้ในการเลือกน้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน เพราะน้ำมันที่ถูกต้องจะช่วยให้ระบบไฮดรอลิคทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดการสะสมของตะกอนที่อาจเกิดขึ้นในระบบไฮดรอลิคนั่นเองล่ะครับ
เบื้องต้น เราได้พูดถึงหลักการคร่าวๆ ของการพิจารณาหมายเลขที่กำกับไว้ในถังน้ำมันไฮดรอลิกส์ไปคร่าวๆ แล้ว หลังจากนี้เราจะมาพิจารณากันต่อไปว่าแต่ละเบอร์เหมาะสมกับเครื่องจักรประเภทไหนอย่างไรบ้าง ขอสรุปคร่าวๆ ดังนี้
1. น้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ 32 เหมาะกับใช้ในระบบไฮดรอลิคที่มีการทำงานที่รวดเร็ว เช่น ในการเคลื่อนที่เครื่องจักร อุตสาหกรรมการผลิต หรืออุตสาหกรรมทั่วไป
2. น้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ 46 เหมาะกับใช้ในระบบไฮดรอลิคที่มีการทำงานปานกลาง อาทิเช่น ในระบบลำเลียงท่อน้ำมัน, เครื่องจักรอุตสาหกรรม, ระบบการทำงานทั่วไป
3. น้ำมันไฮดรอลิคเบอร์ 68 เหมาะกับใช้ในระบบไฮดรอลิคที่มีการทำงานที่ช้าลง เช่น ในการยกสินค้าหนัก, ระบบสต็อกครั้งๆ, หรือในการทำงานทั่วไปที่ต้องการความหนืดสูง
ZIRCON Z32 ANTI-WEAR
น้ำมันไฮดรอลิค Duckhams
เซอร์คอน แซต Z32 แอนตี้แวร์
ZIRCON Z46 ANTI-WEAR
น้ำมันไฮดรอลิค Duckhams
เซอร์คอน แซต Z46 แอนตี้แวร์
ZIRCON Z68 ANTI-WEAR
น้ำมันไฮดรอลิค Duckhams
เซอร์คอน แซต Z68 แอนตี้แวร์
ZIRCON Z100 ANTI-WEAR
น้ำมันไฮดรอลิค Duckhams
เซอร์คอน แซต Z100 แอนตี้แวร์
HYDROLUBE TORQUE 7884
น้ำมันไฮดรอลิค Duckhams
ไฮโดรลูป ทอร์ค 7884
SUPER TF 7884
น้ำมันไฮดรอลิค Duckhams
ซุปเปอร์ ทีเอฟ 7884
ติดต่อสอบถามได้ทุกช่องทาง
![]()
Website
Facebook
Youtube
Instagram
Tiktok
โทร.(ฝ่ายขาย)
โทร.(การตลาด)
โทร.(บัญชี)
LINE OA
ที่ตั้งสำนักงาน
ตัวแทนจำหน่าย